
จุดเริ่มต้นของฟุตบอลในประเทศไทย
กีฬาฟุตบอลเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 โดยมีการบันทึกไว้ว่าฟุตบอลเริ่มแพร่หลายในปี พ.ศ. 2440 (ค.ศ. 1897) ผ่านการนำเข้าของชาวตะวันตกและขุนนางไทยที่ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ต่อมาในปี พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงตั้ง สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ขึ้นอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการวางรากฐานฟุตบอลไทยในเชิงสถาบัน
ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2468 และภายหลังได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของ สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (AFC) ในปี พ.ศ. 2500
พัฒนาการของสนามและการแข่งขันในประเทศ
สนามกีฬาศุภชลาศัย หรือสนามกีฬาแห่งชาติ ได้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2478 และนับเป็นสนามฟุตบอลมาตรฐานแห่งแรกของประเทศไทย ต่อมาในปี พ.ศ. 2511 ประเทศไทยได้จัดการแข่งขันฟุตบอลนานาชาติรายการแรกในชื่อ “คิงส์คัพ” ซึ่งยังคงเป็นการแข่งขันที่มีเกียรติและได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน
ในปีถัดมา พ.ศ. 2512 ประเทศไทยได้จัดการแข่งขันฟุตบอล ถ้วยพระราชทาน ขึ้น แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ถ้วย ก, ข, ค, และ ง เพื่อตอบสนองความต้องการของทีมจากหลายระดับ นอกจากนี้ยังมีการจัดการแข่งขันฟุตบอล ควีนส์คัพ ขึ้นในปี พ.ศ. 2513 เพื่อเสริมสร้างการแข่งขันระดับสโมสร
ฟุตบอลอาชีพและโครงสร้างลีก
การพัฒนาสู่ฟุตบอลอาชีพเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2540 กับการเปิดตัวของ ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นลีกกึ่งอาชีพ กระทั่งในปี พ.ศ. 2542 ได้มีการก่อตั้ง โปรวินเชียลลีก ซึ่งจัดโดยการกีฬาแห่งประเทศไทยเพื่อเปิดโอกาสให้ทีมจากต่างจังหวัดได้พัฒนาเข้าสู่ระดับชาติอย่างจริงจังในปี พ.ศ. 2550 ลีกทั้งสองได้รวมเข้าด้วยกัน กลายเป็น ไทยลีก ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การบริหารของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และได้พัฒนาจนกลายเป็นลีกอาชีพระดับแนวหน้าของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ฟุตบอลทีมชาติไทยในเวทีอาเซียนและเอเชีย
ทีมชาติไทยถือเป็นหนึ่งในทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะในรายการ เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ ซึ่งไทยเคยคว้าแชมป์มาแล้วหลายสมัย เช่น ปี 1996, 2000, 2002, 2014, 2016, 2020 และ 2022 ทีมชาติไทยยังเคยเข้าร่วมแข่งขันใน เอเชียนคัพ หลายครั้ง โดยในปี พ.ศ. 2550 ประเทศไทยยังได้รับเกียรติให้เป็น 1 ใน 4 ชาติร่วมจัดการแข่งขันแม้ฟุตบอลไทยจะยังไม่เคยผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายของฟุตบอลโลก แต่การเข้ารอบน็อกเอาต์ในเอเชียนคัพปี 2019 ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงพัฒนาการของวงการฟุตบอลไทย
ความสำคัญของสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (AFC)
สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (Asian Football Confederation – AFC) ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2497 โดยมีจุดเริ่มจากการหารือของประเทศในเอเชียที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงเฮลซิงกิในปี พ.ศ. 2495 และมีการพูดคุยจริงจังในช่วงเอเชียนเกมส์ที่กรุงมะนิลาในปี พ.ศ. 2497 โดยมีสมาชิกผู้ก่อตั้ง 12 ประเทศ ต่อมาภายในปี พ.ศ. 2501 จำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 35 ประเทศ AFC มีหน้าที่ในการควบคุม ดูแล และจัดการแข่งขันฟุตบอลระดับทวีป เช่น เอเชียนคัพ (Asian Cup) และ AFC Champions League สำหรับสโมสร ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนามาตรฐานฟุตบอลในเอเชียให้เทียบเท่าระดับโลกในปี พ.ศ. 2517 การประชุมใหญ่ของ AFC ที่กรุงเตหะรานมีมติตัดสมาชิกอิสราเอลออกจากการเป็นสมาชิก และในปี พ.ศ. 2519 ได้ขับไล่ไต้หวันออกจากสมาชิกแทนที่โดยจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งในขณะนั้นยังไม่ได้เป็นสมาชิกของ FIFA แต่อย่างใด สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนทางการเมืองที่สัมพันธ์กับวงการฟุตบอลในภูมิภาคนี้
ความหวังของฟุตบอลไทยในระดับเอเชียและโลก
จากจุดเริ่มต้นที่เรียบง่าย ฟุตบอลไทยได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงจุดที่เริ่มเป็นที่จับตามองในระดับเอเชีย ในขณะที่ลีกในประเทศแข็งแกร่งขึ้น สโมสรไทยอย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, เมืองทอง ยูไนเต็ด, และ การท่าเรือ เอฟซี ก็เริ่มมีบทบาทในรายการระดับทวีปฟุตบอลทีมชาติไทยรุ่นเยาวชนเองก็เริ่มฉายแวว โดยเฉพาะในการแข่งขันเยาวชนชิงแชมป์เอเชียและการได้เข้าร่วมการแข่งขัน ฟุตบอลโลกหญิง U-20 ในอดีต ซึ่งเป็นการเปิดประตูให้กับนักเตะไทยได้แสดงศักยภาพในระดับนานาชาติสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ ความฝันในการไปฟุตบอลโลกไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม หากมีการวางแผนและพัฒนาอย่างจริงจัง ทั้งในเรื่องของระบบเยาวชน โค้ช การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการลีกที่มีมาตรฐาน การผนึกกำลังระหว่างสมาคมฯ สโมสร และแฟนบอลก็จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ฟุตบอลไทยก้าวไปสู่จุดนั้น
More Stories
โค้ชวังยิ้ม ไทย U23 ไล่ถลุงมองโกเลีย 6-0 เปิดหัวคัดเอเชียอย่างเร้าใจ
พรีเมียร์ลีกคึกคัก เปิดโพยดีลวันสุดท้าย ใครเสริมโหด ใครวืดน่าเศร้า
จากความหวังสู่ความห่วง ทำไมแมนฯ ยูไนเต็ด ยังหาฟอร์มไม่เจอในฤดูกาลใหม่