
ไทยเฉือนอินเดีย วิเคราะห์เกมกระชับมิตร
ในแมตช์กระชับมิตรที่สนามธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2568 ทีมชาติไทยเปิดบ้านเอาชนะอินเดีย 2-0s โดยประตูแรกเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นเกม ส่วนประตูที่สองได้จากลูกยิงสุดสวยของ ปรเมศย์ อาจวิไล กองหน้าตัวยืมจากจูบิโล่ อิวาตะ อดีตกองหน้าเมืองทองฯ ผลงานนัดนี้ช่วยสร้างความมั่นใจก่อนที่ช้างศึกจะบุกเยือนเติร์กเมนิสถาน ในศึกคัดเอเชียนคัพ วันที่ 10 มิ.ย. ต่อไป
ก่อนเกม โค้ชมาซาทาดะ อิชิอิ ยืนยันว่าเกมอุ่นเครื่องกับอินเดียครั้งนี้เป็นการเตรียมทีมไปสู่เกมคัดเอเชียนคัพกับเติร์กเมนิสถาน โดยนำผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาเทสฟอร์มผสมกับตัวหลักเดิมเพื่อดูความเข้ากันในทีม อิชิอิเผยว่านักเตะทุกคนในแคมป์จะได้โอกาสพิสูจน์ตัวเอง และต้องการผลงานที่ดีจากทุกคนถึงแม้จะเจอกับทีมฟอร์มต่ำกว่า ตนหวังเก็บชัยชนะ แต่จะเน้นใช้เกมนี้ต่อยอดสู่เกมหน้าฝั่งอินเดีย กุนซือมาโนโล่ มาร์เกวซ ทีมจากแดนภารตะได้เตรียมทีมมาอย่างเต็มที่ เขาชี้ว่าชัยชนะเหนือไทยในอดีต (2-1 เมื่อปี 2019) เป็นอดีตไปไกลแล้ว สถานการณ์ปัจจุบันของทั้งสองทีมเปลี่ยนไปเยอะ มาร์เกวซตั้งเป้าว่าอยากคว้าชัยอีกครั้ง แต่ย้ำว่าเกมนี้เป็นแมตช์กระชับมิตรที่ทั้งสองทีมใช้เตรียมทีมไปสู่โปรแกรมฟุตบอลโลก โซนเอเชีย(พบฮ่องกง)เช่นกัน เขาบอกว่าทีมมาเพื่อชนะ และ “ถ้าอยากยิงได้เหมือนปี 2019 แน่นอนว่าอยาก มันคงยอดเยี่ยมมาก” นักเตะสำคัญของอินเดียได้แก่ ซุนิล เชตรี กัปตันวัย 40 ปีที่ยิงให้ชาติไปแล้วถึง 95 และ มันวีร์ ซิงห์ ปีกจอมพลังจากสโมสรโมฮัน บากาน ที่ฤดูกาลที่ผ่านมา ทำ 6 ประตู 6 แอสซิสต์ นับเป็นอาวุธหนักในแนวรุกของอินเดียที่ไทยต้องรับมือ
แผนการเล่นของทีมชาติไทย
มาโน อิชิอิ จัดทีมมาเล่นเชิงรุกตามแผน 3-4-3 (หรือคล้าย 4-2-3-1) โดยใช้ผู้เล่นสำคัญอย่าง พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล และ เบนจามิน เดวิส คุมแดนกลางคอยตัดเกมและเชื่อมโยงบอลขึ้นหน้า ปรเมศย์ อาจวิไล ยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า ขณะที่ ชาญณรงค์ พรหมศรีแก้ว กับ “คคนะ” กำยอง ทำหน้าที่ปีก/วิงแบ็กเติมเกมริมเส้นได้อย่างอิสระ แนวรับมี สันติภาพ จันทร์หง่อม, มาร์โค บัลลินี่ และ ทรงวุฒิ ใคร่ควร คุมหลังสามคนคอยตัดเกมจากด้านหลัง ความพร้อมของไทยถูกรักษาไว้อย่างเข้มข้นจากการซ้อมที่ผ่านมา ทำให้ทีมช้างศึกอาจเป็นฝ่ายรุกกดดันคู่แข่งได้ตั้งแต่ต้นเกม
แผนการเล่นของทีมชาติอินเดีย
อินเดียจัดทีมเน้นเกมรุกยืดหยุ่น โดยวาง ซุนิล เชตรี ยืนหน้าเป้าเป็นหลัก ขนาบข้างด้วย มันวีร์ ซิงห์ ปีกขวาตัวจี๊ด และตัวรุกฝีเท้าดีอย่าง อชิเก้ คุรุนิยัน ตัวริมเส้นทีมชาติ คอยเติมเสมอ กองกลางอาจใช้ระบบ 3-5-2 หรือ 4-3-3 พื้นฐานตามถนัด โดยมีนักเตะประสบการณ์สูงผสมกับแข้งดาวรุ่ง การยิงขึ้นนำจากข้อได้เปรียบโค้ชและรูปเกมที่แข็งแกร่งทำให้อินเดียหวังเก็บชัย แต่เกมนี้ไทยกดดันได้เร็ว ทำให้แผนปูพรมรุกของอินเดียถูกตัดสินใจแก้ไขไปหลายครั้ง
เหตุการณ์สำคัญในเกม
- นาทีที่ 7 (ไทย 1-0 อินเดีย): ไทยบุกขึ้นมาจนถึงกรอบเขตโทษฝั่งขวา พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล แทงบอลจากริมเส้นเข้ากลางให้ กรวิชญ์ ทะสา กระฉอกบอลต่อไปให้ เบนจามิน เดวิส ปักหลักยิงด้วยซ้ายที่หน้าเขตโทษ บอลพุ่งเสียบโคนเสาขึ้นนำ
- ก่อนหมดครึ่งแรก: อินเดียพยายามเร่งเครื่องตามหาโอกาสตีเสมอ มีโอกาสจากลูกฟรีคิกและสวนกลับหลายครั้ง แต่ สรานนท์ อนุอินทร์ นายทวารไทยยังช่วยเซฟไว้ได้อย่างน่าเชื่อถือ
- นาทีที่ 58 (ไทย 2-0 อินเดีย): เบน เดวิส รับบอลกลางสนามแล้วจ่ายยัดไปในกรอบให้ ปรเมศย์ อาจวิไล หาจังหวะได้ก่อนซัดไกลนอกกรอบเขตโทษ บอลโค้งเสียบสามเหลี่ยมเข้าประตูไปอย่างงาม ช่วยให้ไทยนำ 2-0 แน่นอน
- ช่วงท้ายเกม: อินเดียพยายามโหมเกมบุก แต่ไทยยังจัดระเบียบเกมรับดี เอาตัวรอดได้ทั้งหมด จบเกม ไทยเฉือนชนะ อินเดีย 2-0
ผู้เล่นเด่นและสังกัดสโมสร
ผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดในเกมคือ ปรเมศย์ อาจวิไล กองหน้าดาวรุ่งช้างศึก ที่ปัจจุบันย้ายไปเล่นให้กับสโมสรจูบิโล่ อิวาตะ ในศึกเจลีก2 ของญี่ปุ่น เขาคนนี้มีความครบเครื่องทั้งทักษะสูง แข็งแรง และจบสกอร์เฉียบคม ประตูที่สองในนาที 58 ซึ่งเป็นการยิงไกลโค้งปิดกล่อง ถูกยกให้เป็นประตู “มีคลาส” ประหนึ่งตัวอย่างฝีเท้า ชี้ให้เห็นถึงความเก่งกาจระดับสูงของปรเมศย์ บทวิเคราะห์จากสื่อไทยระบุชัดเจนว่าปรเมศย์คือผู้เล่นที่จะก้าวขึ้นมาแทนที่ ธีรศิลป์ แดงดา ได้ในอนาคต นอกจากนี้ แนวรุกอีกหลายคนของไทยอย่าง เบนจามิน เดวิส, ชาญณรงค์ พรหมศรีแก้ว และ กรวิชญ์ ทะสา ก็เล่นอย่างกล้าหาญและมีจินตนาการในการสร้างสรรค์เกม ทำให้เกมรุกไทยดูสดใหม่และมีมิติมากขึ้น
สรุปภาพรวม
ชัยชนะเหนืออินเดีย 2-0 ทำให้ช้างศึกเก็บความมั่นใจได้ตามเป้า ก่อนยกพลไปเยือนเติร์กเมนิสถานในรอบคัดเลือกเอเชียนคัพ อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์เกมชี้ว่า ไทยยังมีจุดอ่อนที่ต้องรีบแก้ไข โดยเฉพาะ “ความฟิต” ของนักเตะที่มีปัญหามาเนิ่นนาน เกมนี้มีการเปลี่ยนตัวหลายครั้งเพราะนักเตะหมดแรง ทำให้ทีมต้องเตรียมการด้านสมรรถภาพให้ดีกว่านี้ในอนาคต. ทั้งนี้ ทีมชาติไทยได้บทเรียนที่สำคัญคือการรักษาฟอร์มเกมรุกต่อเนื่อง พร้อมกับเสริมความแข็งแกร่งในเกมรับต่อไป เพื่อพร้อมสู้ศึกใหญ่ในเดือนถัดไป
More Stories
โค้ชวังยิ้ม ไทย U23 ไล่ถลุงมองโกเลีย 6-0 เปิดหัวคัดเอเชียอย่างเร้าใจ
พรีเมียร์ลีกคึกคัก เปิดโพยดีลวันสุดท้าย ใครเสริมโหด ใครวืดน่าเศร้า
จากความหวังสู่ความห่วง ทำไมแมนฯ ยูไนเต็ด ยังหาฟอร์มไม่เจอในฤดูกาลใหม่